“ชวลิต”ขอให้รอบคอบ ควรหรือไม่ควร ให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ โดยไม่มีคำสั่งศาลเป็นฐานอำนาจ
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย
ให้ความเห็นกรณีใช้ ม.44 ให้อำนาจกรมบังคับคดียึดทรัพย์ในความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว
ว่าตนขอให้ผู้เกี่ยวข้องไตร่ตรองให้รอบคอบจากข้อสังเกต ดังนี้
1.
ปกติกรมบังคับคดีจะยึดทรัพย์ผู้ใด จะดำเนินการตามคำพิพากษาของศาล
ซึ่งกระทำการภายใต้พระปรมาภิไธยขององค์พระมหากษัตริย์
การจะให้กรมบังคับคดีดำเนินการนอกเหนือจากนี้
ควรไตร่ตรองให้รอบคอบว่าควรหรือไม่ควร
2.
กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับบัญญัติถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนไทยทุกคนย่อมได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย
โดยเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ (กม.รธน.ปี 50 ม.29 และ กม.รธน.ที่ผ่านประชามติ
ปี 59 ม.27)
กรณีนี้เป็นการเลือกปฏิบัติกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโดยเฉพาะหรือไม่
3.
อย่าลืมว่า เมื่อครั้งรัฐบาลตัดสินใจว่าจะเลือกใช้วิธีใดในการเรียกค่าเสียหายจากคดีโครงการรับจำนำข้าว
ระหว่างฟ้องต่อศาลยุติธรรมเป็นคดีแพ่ง กับใช้คำสั่งทางปกครอง
ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาก็เรียกร้องให้ใช้วิธีฟ้องเป็นคดีแพ่งทางศาล
เพราะจะได้รับความเชื่อถือมากกว่า แต่รัฐบาลกลับเลือกใช้วิธีออกคำสั่งทางปกครอง
ซึ่งอยู่ในอำนาจของฝ่ายบริหาร
แม้จะใช้วิธีออกคำสั่งทางปกครอง
ซึ่งอยู่ในอำนาจของฝ่ายบริหารดังกล่าว ปรากฎว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็ยังไม่ได้ลงนามในคำสั่งทางปกครอง
อันเป็นข้อพิรุธว่ากระบวนการในการตรวจสอบความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว มีมาตรฐาน
ถูกต้อง ชอบธรรม หรือไม่ อย่างไร
4.ในคดีอาญา
ยังอยู่ในชั้นไต่สวนพยาน ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานทุจริตตามข้อกล่าวหา
โดยหลักของความเป็นจริง ฝ่ายบริหารจะใช้ฐานความผิดใดมาเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
จากข้อสังเกตดังกล่าว
ตนเห็นว่า การดำเนินการกับผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
ไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยเฉพาะความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งหลายที่ต้องการเห็นมาตรฐานทางกฎหมายว่าประเทศไทยจะปฏิสัมพันธ์กับสากลเหมือนนานาอารยะประเทศ
หรือไม่ อย่างไร
จึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องไตร่ตรองให้รอบคอบอีกครั้ง
ส่วนตนเห็นว่า
การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปกติจะได้รับการยอมรับโดยทั่วไปเป็นผลดีต่อภาพพจน์ของประเทศที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประชาคมโลก
16 กันยายน 2559