“สุดารัตน์” จี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาค่าเงินบาท อัด “ประยุทธ์” หยุดแก้ตัวไปวันๆ หวั่นเศรษฐกิจไทยปีหน้าเข้าสู่ภาวะเผาจริง

(5 พ.ย. 62) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป ซึ่งควรจะมีการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุม กนง. วันพรุ่งนี้ รวมทั้งใช้มาตรการทางการคลังสร้างกำลังซื้ออย่างยั่งยืน ไม่เช่นนั้นปีหน้าเศรษฐกิจไทยอาจจะเข้าสู่ภาวะเผาจริงอย่างแน่นอน

“ได้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย พูดว่าไทยถูกสหรัฐฯตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ GSP อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยโตเร็วเกินไป แต่อีก 2 วัน กลับมาพูดใหม่ว่าเศรษฐกิจไทยโตช้า จึงต้องตั้งคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจประเทศไทย รู้และเข้าใจภาวะที่แท้จริงของเศรษฐกิจหรือไม่”

ความจริงคือ ขณะนี้เครื่องยนต์เศรษฐกิจดับทุกตัว ทั้งส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชน  และกำลังซื้อภายในประเทศหดหาย ทำให้เศรษฐกิจซบเซาอย่างหนัก ประชาชนส่วนใหญ่ลำบากยากแค้น รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข หัวหน้าทีมเศรษฐกิจต้องเร่งทำงานให้หนัก ระดมทีมงานมาคิดแก้ไขให้ไว

โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าทุกสกุลในโลก แข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปีที่ 30.16 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นเฉพาะในปีนี้เกือบ 8% แต่หากเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยในปี 2557 เท่ากับ 32.915 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลของคู่ค้าอื่นๆ จนถึงวันนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึงเกือบ 3 บาท แสดงให้เห็นว่านับแต่มีการยึดอำนาจการลงทุนภาคเอกชนก็หดหายไปตั้งแต่บัดนั้น 

เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัญหาต่อการส่งออกและส่งผลต่อการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวในปีนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน ทำให้ธุรกิจส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้จะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดีกว่าประเทศคู่แข่งแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้ส่งออกต้องขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างน้อย 8% ทันทีที่ขายของได้ มากไปกว่านั้นปัจจุบันค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง ยิ่งกระทบต่อธุรกิจที่ส่งออกและท่องเที่ยวของไทยมากขึ้นไปอีก แถมมาถูกซ้ำเติมด้วยการถูกตัด GSP เข้าไปอีก ภาคการส่งออกอาจติดลบประมาณถึง 3% ในปีนี้ ถ้าหากหักทองคำออกในบางเดือน เราจะติดลบสูงถึง 8% ซึ่งนับว่ามากทีเดียว

เราจึงเห็นภาพว่าโรงงานต่างๆ ต้องลดกำลังการผลิต ลดเวลาจ้างแรงงาน หลายแห่งทยอยปิดตัวลง เพราะส่งออกไม่ได้ ขายในประเทศก็ไม่ได้  เพราะกำลังซื้อภายในประเทศก็หดหายเช่นกัน ทำให้ปีหน้าเราต้องเผชิญกับภาวะคนตกงานสูงถึง 500,000 คน เด็กจบใหม่มีความเสี่ยงสูงที่จะหางานทำไม่ได้ ปัญหาสังคมจะตามมาอย่างมากมาย ทั้งยาเสพติดและการจี้ปล้น

ซึ่งค่าเงินบาทแข็ง เพราะเราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงจากเงินทุนระยะสั้นไหลเข้าเก็งกำไร จึงเป็นการเกินดุลที่ไม่เป็นประโยชน์ แถมยังทำให้เงินบาทแข็งกระทบภาคส่งออก รวมทั้งมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง จึงหวังว่าที่ประชุม กนง. ในวันพรุ่งนี้ (6 พ.ย.) จะมีการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.25% เพื่อประคองไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากไปกว่านี้ 

นอกจากนี้ รัฐบาลจึงต้องเร่งระดมสรรพกำลัง มาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยไม่ปล่อยเป็นภาระของธนาคารแห่งประเทศไทย เพียงหน่วยงานเดียว เพราะเราสามารถใช้กลไกเครื่องมือทางเศรษฐกิจหลายๆตัว มาช่วยดูแลค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อย่างมีธรรมาภิบาล นอกเหนือจากการบริหารอัตราดอกเบี้ย เช่น การเพิ่มการนำเข้าระยะสั้นในสินค้าที่เราต้องนำเข้าเพื่อใช้อยู่แล้ว อย่างน้ำมัน หรือการคืนเงินกู้ต่างประเทศ เป็นต้น เพื่อลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอันจะทำให้เงินบาทอ่อนตัวลงโดย ธปท. ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง

ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องใช้มาตรการทางการคลังสร้างกำลังซื้ออย่างยั่งยืน (ไม่ใช่การหว่านแจกเงิน ที่ไม่ได้ให้ผลในการสร้างกำลังซื้ออย่างยั่งยืน) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในอันเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวเดียวที่ยังขับเคลื่อนได้ เมื่อกำลังซื้อที่มีคุณภาพและยั่งยืนเกิดขึ้น จึงจะสามารถสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจ (TRUST&CONFIDENCE) ให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมองเห็นอนาคต และกล้าที่จะตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการสร้างงานและสร้างรายได้ใหม่

“พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ต้องยอมรับความจริงว่า สภาวะเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มากแล้ว ต้องการการลงมือทำงาน แก้ปัญหาทันที มิใช่การแก้ตัวด้วยคำพูดไปวันๆ ไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจไทยปีหน้าต้องเข้าสู่ภาวะเผาจริงอย่างแน่นอน”