“เพื่อไทย” ตั้งกรรมการสอบ 3 ส.ส. ไม่ทำตามมติพรรคฝ่ายค้าน ชี้ หากผิดจริง พร้อมลงโทษขั้นสูงสุด
(6 ธ.ค. 62) พรรคเพื่อไทย นำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ นายชัยเกษม นิติสิริ คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค และนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงข่าวตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการเกิดงูเห่าในพรรคการเมือง
โดย นายสมพงษ์ กล่าวว่า ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้มีมติเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำประกาศและคำสั่งของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นไปตามอุดมการณ์และนโยบายของพรรคที่จะต้องคัดค้านต่อต้านการรัฐประหาร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส.ส. พรรครัฐบาลเสนอให้ลงคะแนนใหม่ โดยมีเจตนาจะล้มญัตติดังกล่าว ได้มี ส.ส. ของพรรค 3 คน ร่วมประชุมเพื่อให้ครบองค์ประชุมในการลงมติครั้งนี้ด้วย ทำให้เกิดความเสียหายต่อพรรคและภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคฝ่ายค้านเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่มติพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นชอบไม่ให้ ส.ส. ฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุม
นายสมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง กรณี ส.ส. ของพรรคทั้ง 3 คนได้เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าว อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคเพื่อไทย พ.ศ.2561 ข้อ 63 (7) แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ประธานกรรมการ นายชัยเกษม นิติสิริ นายภูมิธรรม เวชยชัย นายชูศักดิ์ ศิรินิล กรรมการ และนายวัฒนา เตียงกูล เลขานุการ โดยใช้เวลา 7-10 วัน โดยให้ตรวจสอบและแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ ส.ส. ของพรรคได้เข้าร่วมประชุมในวาระพิจารณาญัตติข้างต้น เชิญ ส.ส. ของพรรคที่เกี่ยวข้องและที่มีข้อมูลมาให้ข้อเท็จจริงหรือส่งมอบเอกสารหลักฐาน และสรุปข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะเสนอหัวหน้าพรรคเพื่อพิจารณา
จากนั้น นายสมพงษ์ อ่านคำแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย ว่า จากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 เพื่อพิจารณาญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่ง ของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความกลัว ในการถูกตรวจสอบของผู้นำรัฐบาล ถึงขั้นกล้ากระทำสิ่งที่น่าละอาย ขัดต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชน และขัดต่อความถูกต้องชอบธรรม อย่างไม่สะทกสะท้าน หวั่นเกรงใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นการนำจำเลยซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้มีความผิด ถูกออกหมายจับ เข้ามานั่งในสภาฯ ได้ โดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใดกล้าเข้ามาจับกุม หรือกรณีที่มีข่าวหนาหูว่ามีการใช้ผลประโยชน์ อิทธิพลและมีการกล่าวอ้างถึงการใช้เงินจำนวนมากถึง 7-8 หลักเพื่อโน้มน้าว ชักจูงให้มีการลงมติสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และดิ้นรนที่จะไม่ยินยอมให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 จนเกิดการถอยหลังทางการเมืองอย่างน่าอดสู
ปรากฏการณ์ “งูเห่า” ที่เกิดขึ้นในพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการที่ไม่มีกติกา ขาดวินัย ไร้จิตสำนึก มุ่งแต่แสวงประโยชน์ฝ่ายตนให้เกิดขึ้นภายใต้กลไกอำนาจนอกระบบ เป็นการลุแก่อำนาจ คุกคามด้วยอามิสสินจ้าง ทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ เพราะขลาดกลัวการถูกตรวจสอบ
จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่การรัฐประหารล่วงเลยมาถึงวันนี้ สังคมไทยมีบาดแผลและมีมลทินมากมาย ผลที่เห็นประจักษ์ชัด คือ การเมืองไทยที่เคยก้าวหน้า เป็นการเมืองเชิงนโยบาย ยึดถือการรักษาพันธะ สัญญาที่จะตอบสนองความต้องการเชิงนโยบายให้แก่พี่น้องประชาชน กลับต้องถอยหลังย้อนอดีตไปเกือบ 40 ปี เป็น Money Politic ที่ใช้อำนาจอธรรมและเงิน เป็นเครื่องมือ ทำให้ระบบรัฐสภาถอยหลัง ประชาชนหมดความไว้วางใจ บั่นทอนระบอบรัฐสภาให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ขาดไร้จริยธรรม สร้างเงื่อนไขให้ผู้คนเห็นความเสื่อม จนอาจเกิดความชาด้านและปฏิเสธระบบรัฐสภาในที่สุด
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ความเสื่อมทรุดทั้งปวง เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความหวาดกลัวการถูกตรวจสอบ การใช้อำนาจเงินหว่านล้อมให้ ส.ส.งูเห่า ยอมจำนน ในด้านหนึ่งแม้จะสะท้อนภาพของการขาดจริยธรรมของ ส.ส. แต่เบื้องหลังคือ อำนาจและกลไกการควบคุมที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันให้พรรคพวกของตนสามารถสืบทอดอำนาจของพวกตนเองได้ตลอดไป
ภายใต้ผลพวงของการออกแบบรัฐธรรมนูญที่พิกลพิการไม่ปกติ สะท้อนถึงความสามารถในการพลิกพลิ้ว “ทำผิด ให้เป็นถูก” การใช้กลโกงในการควบรวมอำนาจเช่นนี้ กลับยิ่งสื่อให้เห็นถึงรัฐบาลที่ไร้หลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผลมาดึงความร่วมมือร่วมใจของคนทุกฝ่ายให้เกิดขึ้นได้จริง จึงต้องเล่นแร่แปรธาตุทุกวิถีทางดังที่เป็นอยู่
พรรคเพื่อไทยเห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าจะยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และจะยิ่งเกิดขึ้นอีกต่อเนื่อง ด้วยเสียงที่ปริ่มน้ำของรัฐบาล พวกเขาจะกระทำทุกวิถีทางในการปกป้องประโยชน์พวกพ้องตน มากกว่าประโยชน์ของประชาชน อันเป็นการทำลายระบบการเมืองที่มีหลักการของประเทศต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ
หนทางสำคัญ เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลและกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องยินยอมและเร่งรัดให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมในสังคม เพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญเสียใหม่ ให้ตอบสนองความต้องการอันแท้จริงของประเทศ และความต้องการของประชาชน และต้องมุ่งสร้างความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
นับจากวันนี้ วาระต่อไปคือ การนำวาระการพิจารณาเรื่องการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่สภาเพื่อหาทางออกจากวิกฤตของประเทศ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการ ดังนี้ 1. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี ส.ส. ของพรรคไม่ปฏิบัติตามมติพรรคร่วมฝ่ายค้าน หากพบว่ามีการกระทำผิด จะดำเนินการตามกฎหมายและข้อบังคับพรรคในสถานหนัก 2. จะเสนอให้พรรคร่วมฝ่ายค้านพิจารณาตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 โดยทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว โดยให้ประชาชนในสังคมร่วมเสนอความคิดเห็น และแถลงให้พี่น้องประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด
พรรคเพื่อไทยจึงขอเชิญชวนประชาชนให้จับตามองว่า รัฐบาลจะจริงจังและจริงใจในการเปิดหนทางให้มีการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ลุล่วงหรือไม่ และพวกเขาจะใช้อำนาจอธรรมรูปแบบใด มาขัดขวางเจตนารมณ์แท้จริงของประชาธิปไตยอีก ประชาชนต้องไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องร่วมกันจับตามองการใช้อำนาจอธรรมที่บ่อนทำลายระบบรัฐสภาและจริยธรรมทางการเมือง เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศอย่างจริงจัง
นายชัยเกษม ตอบคำถามถึงการดำเนินการเอาผิด ส.ส. ว่า ในความเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องดำเนินการตามมติพรรค ส่วนจะลงโทษหนักแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่สอบได้ หากพบว่า ส.ส. ถูกชักจูงด้วยอามิสสินจ้าง ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะถือว่ามีความผิด หากทำผิดถึงขั้นร้ายแรงอาจถึงขั้นขับออกจากพรรค ไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะอนาคตการเป็น ส.ส. แทบจะเป็นหมดไป
โดย นายชูศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายพรรคการเมืองเขียนไว้ว่าเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่ ส.ส. ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายพรรคการเมืองและข้อบังคับของพรรค เพราะ ส.ส. จะลงสมัครอิสระไม่ได้ ต้องสังกัดพรรคการเมือง ดังนั้นเมื่อพรรคมีมติ ส.ส. ต้องเคารพมติพรรค
สุดท้าย นายภูมิธรรม กล่าวว่า คณะกรรมการฯ จะเข้าไปตรวจสอบขึ้นกับข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการใช้เงินซื้อและมีการรับเงินจริง ก็จะดำเนินการเอาผิดทางอาญาต่อไปด้วย ซึ่งมาตรการสูงสุดคือขับออกจากพรรค ไม่ส่งลงสมัครไปจนถึงภาคทัณฑ์