“วัฒนรักษ์” ชี้ ประชาชนรอฟังศึกซักฟอก อัด “ประยุทธ์” ไร้ประสิทธิภาพ แก้ปัญหาประเทศไม่ได้

(9 ก.พ. 63) ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่ราคาจำหน่ายของหน้ากากอนามัยของหน่วยงานภาครัฐไม่เท่ากัน โดยราคาขององค์การเภสัชกรรม 1 บาท ทำเนียบรัฐบาล 2.50 บาท และร้านธงฟ้า กระทรวงพาณิชย์ 2.50-5 บาท ก่อให้เกิดกระแสความสงสัยขึ้นกับประชาชนคนไทยว่า เหตุใดทำไมราคาหน้ากากอนามัยจึงแตกต่างกัน และเป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าการบริหารจัดการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเรื่องนี้พรรคเพื่อไทยเตรียมตั้งกระทู้สดในการประชุมรัฐสภา โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาเป็นผู้ตอบคำถามว่าด้วยเหตุผลใดจึงทำให้รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐบางองค์กรขายหน้ากากในราคาที่แพงกว่าองค์การเภสัชกรรม โดยในขณะนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาโพสต์แย้งรัฐบาลว่า “หน้ากากอนามัยที่จำหน่ายนั้นเป็นของใหม่ ไม่ใช่ของเก่าค้างสต๊อกตามที่รัฐกล่าวอ้าง ซึ่งองค์การเภสัชกรรมขายในราคาทุน โดยปัจจุบันสั่งผลิตไว้ 5 ล้านชิ้น และพร้อมที่จะสั่งเพิ่มอีก หากประชาชนมีความต้องการ” โดยตามหลักความเป็นจริงนั้น หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องช่วยเหลือประชาชน หากมีการขายเอากำไรแบบนี้จะถือว่าฉวยโอกาสหาผลประโยชน์หรือไม่ ในขณะที่ทางพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นความสำคัญของประชาชนเป็นหลักมาโดยตลอด ซึ่งหากทางพรรคเป็นรัฐบาลคงมีนโยบายแจกหน้ากากอนามัยฟรีตั้งแต่ปัญหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มระบาดวันแรกแล้ว 

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะเป็นการชี้ชัดเจนว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวปัญหาของเศรษฐกิจไทยหรือไม่ และมีการบริหารราชการผิดพลาดอย่างไร เพราะที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้สนใจแต่เรื่องการตลาดมากกว่าจะมองถึงการปฎิบัติจริงในนโยบายที่รัฐบาลนำมาใช้ ดังจะเห็นได้จากหลากหลายโครงการที่นำมาใช้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จริง ซึ่งถ้าหากรัฐบาลจากฝ่ายประชาธิปไตยได้มาบริหารประเทศ ก็จะใส่ใจประชาชนทั่วไปมากกว่าคนรวย ซึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ เวลาที่ฝ่ายรัฐบาลให้ก็มีจำกัด แต่ฝ่ายค้านมีหน้าที่อภิปราย ดังนั้น จึงต้องมีการปรับรายชื่อผู้จะอภิปราย ซึ่งขณะนี้รายชื่อยังไม่นิ่ง เนื่องจาก ส.ส. แต่ละคนในจำนวนหลายพรรครวมกันทั้งหมด 30-40 คน นั้นเตรียมข้อมูลมาอย่างดี แต่ข้อมูลบางคนมีความใกล้เคียงกัน ดังนั้นสุดท้ายจึงต้องมาตัดอีกรอบ ซึ่งทางพรรคหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่ายรัฐบาลคงจะไม่ประท้วงจนทำให้ทุกฝ่ายต้องเสียเวลา เพราะประชาชนให้ความสนใจรอฟังการอภิปรายในครั้งนี้ ดังนั้นหากรัฐบาลไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายให้ครบถ้วนและพยายามปิดบังข้อเท็จจริงก็ยิ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความกังขา ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อรัฐบาลเอง ซึ่งตนเชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่ารัฐบาลชุดนี้ควรจะอยู่ต่อไปหรือไม่