“พิชัย” เตือน “ประยุทธ์” อย่าปล่อยคนไทยตามยถากรรม ต้องหัดมองเศรษฐกิจล่วงหน้าให้เป็นและเร่งแก้ไข ชี้ หลอกตัวเองไปวันๆ มีแต่จะพัง แนะ ฟังปัญหาที่จะเกิดขึ้น และรัฐบาลต้องเร่งหาวัคซีนเอง อย่าหวังพึ่งเอกชน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจกล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้หั่นการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือการขยายตัวเพียง 0.7% ในขณะที่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สมาคมธนาคาร สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาหอการค้าฯ ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวติดลบถึง – 1.5% ซึ่งเป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และคาดว่าสถานการณ์อาจจะยังย่ำแย่กว่านี้ได้อีก จากสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากทะลุวันละ 2 หมื่นราย โดยยังขาดแคลนวัคซีนที่มีคุณภาพเป็นจำนวนมาก และน่าจะต้องล็อกดาวน์อีกเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดลงต่อไปอีก ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะต้องฝึกคิดล่วงหน้า และคาดการณ์สถานการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นให้ได้ และต้องหาวิธีป้องกันแก้ไข ไม่ใช่ตามแก้รายวันเหมือนที่เป็นอยู่ เพราะจะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่และเลวร้ายลงเรื่อยๆ
สภาวะการณ์ปัจจุบันดูเหมือนพลเอกประยุทธ์ จะปล่อยประเทศและประชาชนให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีแนวทาง ไม่มีกำหนดการ ไม่มีหลักการ ไม่ได้สร้างความมั่นใจได้เลยว่า ประเทศไทยจะก้าวพ้นจากสภาวะวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร โดยประชาชนยังไม่รู้เลยว่าวัคซีนที่มีคุณภาพจะเข้ามาเมื่อไหร่ แล้วเมื่อไหร่จะมีการฉีดได้ 100 ล้านโดสตามที่พลเอกประยุทธ์ คุยโม้ไว้ปลายปีนี้คงเป็นไปไม่ได้แน่ แล้วจะเป็นเมื่อไหร่ จะเป็นปีหน้าเดือนไหน และ จะต้องล็อกดาวน์ไปอีกกี่เดือน 3-4 เดือนจะเอาอยู่ไหม เอาไม่อยู่จะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจไทยจะพังขนาดไหน คำถามเหล่านี้อยู่ในใจประชาชนส่วนใหญ่ แต่ไม่มีคำตอบจากรัฐบาล
ทุกวันนี้สิ่งที่ได้ยินจากพลเอกประยุทธ์ และรัฐบาลคือคำพูดเพื่อปลอบใจตัวพลเอกประยุทธ์ เอง เหมือนกับต้องการหลอกตัวเองไปวันๆ แต่ไม่มีแนวทางและหมายกำหนดการที่ชัดเจนเลย ความพยายามที่จะหลอกตนเองและเชื่อเอง จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ พอมีคนที่รู้และเป็นห่วงออกมาเสนอแนะแนวทางแก้ไข ทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยและพี่โทนี่ ได้แนะนำพลเอกประยุทธ์ กลับไม่ฟังและไม่นำไปปฏิบัติตาม แต่ต่อมาก็พบว่าเป็นความจริงมาโดยตลอด และเมื่อจะนำมาทำก็สายไปแล้ว ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ จะได้มองย้อนหลังและกล้ายอมรับจะพบความจริงเรื่องนี้
ต้องขอเตือนพลเอกประยุทธ์ ว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ การแพร่ระบาดจะมีมากยิ่งขึ้น คนจะติดเชื้อมากขึ้น มีคนตายเพิ่มขึ้น และยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ โดยถ้าวัคซีนคุณภาพยังไม่มา การระบาดก็จะยังไม่จบ อีกทั้ง สถานการณ์เศรษฐกิจจะทรุดหนัก การส่งออกแม้จะเพิ่มแต่การนำเข้าก็เพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน และการขาดดุลบัญชีภาคบริการเพิ่มสูงขึ้นมาก ค่าเงินบาทจะยิ่งอ่อนค่าลงอีก สภาวะการคลังของรัฐบาลจะมีปัญหา การเก็บรายได้จะลดลงอีกมาก สภาพคล่องในระบบธนาคารจะลดลง รัฐบาลจะมีปัญหาการกู้เงินเพื่อเยียวยาและการฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันคนงงกันว่าเงินที่กู้เพิ่ม 5 แสนล้านบาท และของเดิมบอกมีเงินเยียวยาเหลือ 3.5 แสนล้านบาท เงินหายไปไหนหมด การเยียวยาประชาชนถึงได้กะปิดกะปอย หรือพลเอกประยุทธ์ ได้นำเงินไปใช้เรื่องอื่นแล้ว นอกจากนี้ หนี้ภาคครัวเรือนจะพุ่งถึง 93% ของจีดีพี ซึ่งสูงยิ่งกว่าที่ได้เคยเตือนไว้ โดยไม่มีทิศทางที่จะลดได้ และการว่างงานได้พุงขึ้นถึง 1.95 % ในไตรมาสแรกของปีนี้ สูงที่สุดในรอบ 5 ปี และจะว่างงานจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมาก พร้อมกับหนี้เสียในภาคธนาคารจะพุ่งขึ้น นี่เป็นเพียงบางเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ จะต้องศึกษาและเตรียมรับมือ ซึ่งหากไม่เข้าใจก็อย่าดันทุรังอีกเลยเพราะสถานการณ์จะแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งคนเจ็บคนตายจากไวรัสโควิด และคนล้มละลาย คนอดตาย จากพิษเศรษฐกิจ
เรื่องวัคซีนยังเป็นปัญหาหลักที่พลเอกประยุทธ์ ยังหาทางแก้ไม่ได้และยังไม่รู้จะหามาจากไหน ล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน บอกว่าจะร่วมกับเอกชนหาวัคซีนเพิ่ม แสดงถึงความสิ้นหวังของรัฐบาลในการหาวัคซีนแล้ว โดยอยากให้พิจารณาการยืมวัคซีนจากประเทศที่มีวัคซีนสำรองเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีหลายประเทศ ตามคำแนะนำของพี่โทนี่ แล้วนำไปคืนเขาเมื่อบริษัทผลิตวัคซีนส่งไทยได้ โดยล่าสุด ประเทศอิสราเอลยังต้องทำลายวัคซีนไฟเซอร์ 8 หมื่นโดสทิ้งเพราะหมดอายุ ดังนั้นหลายประเทศที่มีสำรองวัคซีนจำนวนมากน่าจะยินดีให้ไทยยืมก่อนที่จะหมดอายุ เพราะจะแลกเปลี่ยนได้วัคซีนของใหม่คืนที่จะมีอายุการใช้นานกว่า ซึ่งหากรัฐบาลมีคนมีคอนเนคชั่นที่ดีพอก็น่าจะเร่งทำได้ ถ้าหาคนทำไม่ได้ก็ให้ไปขอพี่โทนี่ ช่วยทำอย่างเป็นทางการ น่าจะเป็นทางออกที่ช่วยได้ในภาวะวิกฤตนี้
หากมองย้อนหลังจะพบว่าพลเอกประยุทธ์ ได้ขาดความรู้ความสามารถในการบริหารมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่อาศัยการกินบุญเก่าของไทยที่สะสมมาในอดีต ปัญหาจึงไม่เห็นมากนัก แต่พอต้องมาเจอกับวิกฤติการณ์ไวรัสโควิด การขาดความรู้ความสามารถ ความไม่มีประสิทธิภาพและความไม่รู้เรื่อง จึงปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัดพร้อมกับความล้มเหลวในทุกด้าน และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนคนไม่เก่งให้เป็นคนเก่งได้ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทางเดียวที่ทำได้คือต้องเปลี่ยนคนเก่งเข้ามาแทนคนไม่เก่ง ประเทศไทยถึงจะไปรอด อย่าให้ประเทศต้องล่มสลายคามือคนที่พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวเลย ประชาชนจะยิ่งโกรธแค้นและจะทนความลำบากกันไม่ไหว //