“สุณิสา” ชี้ คนไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ
(18 พ.ย. 62) ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คนไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร ในเมื่อต้องอยู่อย่างสิ้นหวัง เพราะรัฐบาลบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว และต้องทนอยู่กับนายกฯ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เลือก ทั้งยังโดนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลอกหลายเรื่อง เช่น ตอนหาเสียง พรรคพลังประชารัฐก็หลอกว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 400-425 บาทต่อวัน แต่พอได้เป็นรัฐบาลก็ทำไม่ได้ตามที่พูด โดย รมว.แรงงาน ก็เพิ่งยอมรับว่าทำไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เขียนไว้ในนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อสภา โดย รมว.แรงงาน ได้บอกกับคณะกรรมาธิการแรงงานฯ ว่า รัฐบาลไม่สามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเองได้ ถ้าไม่ได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการค่าจ้างทั้ง 3 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล แสดงว่านี่เป็นแค่คำโกหกตอนหาเสียงอย่างนั้นหรือ แล้วถ้าพรรคพลังประชารัฐไม่มั่นใจว่าทำได้ แล้วเอาไปเขียนไว้เป็นนโยบายหาเสียงได้อย่างไร หากเป็นพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามทำ ป่านนี้ก็คงโดนยื่นคำร้องขอยุบพรรคไปแล้ว ที่แย่กว่านั้น คือ นอกจาก รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ขึ้นค่าจ้างให้แรงงานตามที่โฆษณาไว้ตอนหาเสียงแล้ว ยังจ้องจะเอาเงินกองทุนประกันสังคมของผู้ใช้แรงงานมาถลุงอีกด้วย ทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์และไม่ได้ถามความสมัครใจของประชาชนเจ้าของเงิน
ที่สำคัญ ถ้าเอาเงินกองทุนประกันสังคมมาบริหารแล้วเกิดความเสียหาย รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร เพราะที่ผ่านมา กิจการหรือรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลถือหุ้น ก็ล้วนแต่ประสบปัญหาขาดทุน แม้แต่กิจการผูกขาดอย่าง บริษัท การบินไทย ก็ยังขาดทุนมโหฬาร ล่าสุดรัฐบาลก็ส่งสัญญาณว่าถังแตก จนดีดี บริษัท การบินไทย ต้องยกเลิกการรับสมัครแอร์สจ๊วต จำนวน 200 อัตรา ทั้งๆที่เปิดและปิดรับสมัครไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้สมัคร 3,500 คน จนผู้สมัครโวยวาย บริษัท การบินไทยก็เลยต้องคืนค่าสมัคร 3 ล้านกว่าบาท และขอโทษผู้สมัคร ซึ่งสะท้อนความย่ำแย่ของกิจการ
แต่ถึงแม้รัฐบาลจะถังแตก แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังชอบแจกเงินในโครงการประชานิยมต่างๆ โดยเฉพาะ มาตรการ ชิมช้อปใช้ ที่มีหลายเฟส ทั้งๆที่ ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงและไม่ได้สร้างงานสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน แค่แจกเงินให้ชาวบ้านใช้เป็นครั้งๆ แล้วก็จบ จึงไม่ได้สร้างกำลังซื้อที่ถาวรในระบบเศรษฐกิจ และน่าสังเกตว่า ชิมช้อปใช้ เฟส 3 ก็มีคนเข้าร่วมโครงการต่ำกว่าเป้า เพราะคราวนี้ไม่ได้แจกเงินให้ใช้ 1,000 บาท เฉยๆ แต่ประชาชนต้องควักเงินตัวเองมาใช้ก่อน แล้วถึงจะได้เงินคืนในรูป Cash Back แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะมีหนี้สินท่วมหัว และมีปัญหาคนตกงานสูง โครงการชิมช้อปใช้ เฟส 3 ในส่วนของผู้สูงอายุจึงมีคนมาขอใช้สิทธิ์ต่ำกว่าเป้า ซึ่งก็สะท้อนสภาพที่แท้จริงของประชาชนที่ขาดความเชื่อมั่นในการบริโภค จึงไม่กล้าใช้เงินเพราะเศรษฐกิจไม่ดี
ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยในภาพรวม ประจำเดือน ต.ค. 62 อยู่ที่ระดับ 46.3 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 แปลว่าคนไทย รู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี เลยไม่กล้าใช้จ่าย นอกจากนี้ คนไทยมีหนี้ภาคครัวเรือนสูงถึง 13 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของ เอเชีย และเป็นอันดับ 11 ของโลก ทั้งยังมีคนตกงาน 355,000 คน การส่งออกเดือน ต.ค. ติดลบถึง 8.1% จึงทำให้ทุกฝ่ายไม่เชื่อมั่นในอนาคตทางเศรษฐกิจของไทย
อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าในการประชุม ครม. พรุ่งนี้ จะมีการพิจารณานโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ซึ่งพรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลพูดให้ชัดเจนว่า จะเอาเงินตรงไหนไปจ่ายส่วนต่างค่าโดยสารรถไฟฟ้า ซึ่งหากต้องใช้เงินภาษีของคนไทยทั้งประเทศไปอุดหนุน รัฐบาลก็ควรถามคนต่างจังหวัดและคนกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้า ด้วยว่าเขาเต็มใจช่วยจ่ายค่านั่งรถไฟฟ้าของคนกรุงเทพฯ หรือเปล่า ทั้งนี้ แม้จะพอเข้าใจได้ว่ารัฐบาลต้องช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน แต่ก็ต้องใช้วิธีการที่เป็นธรรมด้วย หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แก้ปัญหาไม่ได้ และไม่รู้วิธีใช้เงินงบประมาณแผ่นดินให้คุ้มค่าและเป็นธรรม พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรลาออกไป จะอยู่ไปทำไม ในเมื่อยิ่งอยู่คนไทยก็ยิ่งจน ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าใครจะอยู่เป็น หรืออยู่ไม่เป็น แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งถ่วงความเจริญของประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จึงควรรีบลาออกไป ถ้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้