“เพื่อไทย” สอน “สุพัฒนพงษ์” ไทยติดลบหนัก 6.1% แต่บอกเป็นความสำเร็จ ถ้าไม่รู้ว่าภาพใหญ่ของไทยเสียหายตรงไหนควรออกไปได้แล้ว

(14 มีนาคม 2564) นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สส. หนองคาย อดีตรองเลขาสภาอุตสาหกรรม และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน ให้สัมภาษณ์ว่า ภาพใหญ่ของประเทศไทยดีแล้วไม่มีอะไรเสีย เศรษฐกิจปี 2563 ที่ติดลบถึง 6.1% ต่ำสุดในรอบ 22 ปี คือความสำเร็จ และปีนี้จะขยายตัว 4% นั้น น่าจะเป็นความเพ้อฝันและแก้ตัวแบบข้างๆคูๆ และถ้านายสุพัฒนพงษ์คิดได้แค่นี้ ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ หรือเพียงพูดเพื่อต้องการขายฝันเพื่อเกาะเก้าอี้รักษาตำแหน่งไว้ หลังคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเสนอให้เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจทั้งหมดเพราะผลงานทางเศรษฐกิจล้มเหลวหนักยิ่งกว่าสมัยนายสมคิดที่ว่าล้มเหลวมากแล้ว

ดังนั้น คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยจึงอยากอธิบายให้ประชาชนได้เห็นปัญหาภาพใหญ่ของประเทศไทยคือ เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำที่สุดตลอด 6 ปี ตั้งแต่มีการปฏิวัติ การลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศหดหายไปเพราะขาดความเชื่อมั่น การส่งออกแทบไม่ขยายตัวเลย อีกทั้งสินค้าส่งออกของไทยเริ่มจะล้าสมัยเนื่องมาจากการขาดการลงทุนใหม่ๆมานาน รายได้ของประชาชนลดลง สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ทำให้การใช้จ่ายของประชาชนหายไป การท่องเที่ยวหดหาย การใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ มีการใช้งบประมาณจำนวนมากด้านการทหารและความมั่นคงซึ่งไม่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รัฐบาลคิดแต่แค่แจกเงินเพื่อประคองความนิยมและรักษาอำนาจ แต่ไม่ได้พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แทบไม่มีเลย

อีกทั้ง รัฐบาลยังกดขี่และกลั่นแกล้งผู้เห็นต่าง รัฐบาลไม่สร้างบรรยากาศส่งเสริมให้มีธุรกิจใหม่ๆโดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ทางเทคโนโลยีหรือที่เรียกว่า ยูนิคอร์น รัฐบาลไม่มีทิศทางว่าประเทศไทยจะเดินต่อไปอย่างไร ไทยจะอยู่ที่ไหนในแผนที่โลกทางด้านเศรษฐกิจ ภาพพจน์ไทยไม่ต่างจากประเทศพม่า ผู้นำขาดความรู้ความเข้าใจทางเศรษฐกิจและไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ ขนาดยังเอาแอลกอฮอล์มาไล่ฉีดนักข่าวให้เป็นข่าวฉาวไปทั่วโลก เป็นต้น ซึ่งตรงข้ามกับที่นายสุพัฒนพงษ์พูดมาอย่างสิ้นเชิง และหากนายสุพัฒนพงษ์ยังคิดถึงปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะบริหารประเทศต่อไปแล้ว

นอกจากนี้การที่นายสุพัฒนพงษ์คิดว่าเศรษฐกิจไทยติดลบหนักถึง -6.1% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี เป็นความสำเร็จเพราะติดลบน้อย เป็นความคิดที่แปลกประหลาดอย่างมาก เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาตลอด 6 ปี และมาติดลบหนักอีก จะบอกว่าเป็นผลงานได้อย่างไร คิดได้แค่แบบนี้เศรษฐกิจไทยคงไปไม่รอด จะตกตึก 10 ชั้น หรือ จะตกตึก 6 ชั้น ก็ตายเหมือนกัน คำถามอยู่ที่ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นขึ้นมาและเดินต่อไปได้อย่างไร

นายสุพัฒนพงษ์พยายามขายฝันว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 4% ซึ่งก็ยังไม่เท่าที่ตกลงมาที่ -6.1% เลย และการขยายตัว 4% นี้จะเป็นไปได้ยาก หรือ แทบเป็นไปไม่ได้เลย เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกจะเป็นตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าจะออกมาไม่ดีนัก อีกทั้งการคาดหวังนักลงทุนต่างประเทศที่จะมาลงทุนในไทยปีนี้ ยิ่งเป็นไปได้ยากมาก ขนาดก่อนหน้านี้ในสมัย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่มีบารมีมากกว่านายสุพัฒนพงษ์มาก และ เศรษฐกิจโลกยังดีและโลกยังไม่เจอวิกฤตไวรัสโควิด ก็ยังไม่มีใครมาลงทุนในไทยเลย แล้วนายสุพัฒนพงษ์จะมีปัญญาพาใครมาลงทุนได้ การอ้างว่าความสะดวกในการทำธุรกิจดีขึ้นที่อันดับ 21 ก็ยังแย่กว่าสมัยรัฐบาลก่อนการปฏิวัติที่อยู่ที่อันดับ 18 และหลังจากการปฏิวัติทำความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยหล่นหนักไปอยู่อันดับ 46 ในปี 2558 และหล่นลงอีกในปี 2559 ที่ลงไปอยู่ที่อันดับ 49 ก่อนจะค่อยๆฟื้นขึ้นมาได้ แต่ก็ยังไม่ถึงที่เดิม

ทั้งนี้อยากให้นายสุพัฒนพงษ์ ในฐานะ รมว. พลังงาน ได้เข้าไปตรวจสอบการใช้เงินของกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่มีการใช้เงินสะเปะสะปะ ให้กับกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กอ. รมน. และ ศอ. บต และยังจัดซื้อในราคาแพงมหาโหด แต่อุปกรณ์กลับใช้การไม่ได้ อีกทั้งยังมีการล่องหนด้วย นอกจากนี้ นายสุพัฒนพงษ์ควรจะต้องชี้แจงให้ชัดเจนเรื่องการทำโซลาร์เซลล์ 30,000 เมกกะวัตต์ของกองทัพบกด้วย เพราะปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้าล้นเกินอย่างมาก และการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อช่วยลดภาระของประชาชนที่กำลังลำบากกันอย่างมาก

กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่มาตลอดแล้วยังมาเจอวิกฤตไวรัสโควิดซ้ำเติม แสดงให้เห็นว่าปัญหาของประเทศไทยที่แท้จริง อยู่ที่ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ที่ได้รับข่าวสารทางด้านลบในการบริหารและในการกระทำของพลเอกประยุทธ์มาโดยตลอดตั้งแต่หลังการปฏิวัติจนถึงปัจจุบัน หากจะสร้างความมั่นใจของประเทศไทยให้กลับมาได้ ประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนผู้นำที่ต้องไม่ใช่พลเอกประยุทธ์อีกต่อไป และจะต้องแก้ไขไม่ให้มีรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจ ความมั่นใจจึงจะกลับมาได้ และเศรษฐกิจไทยถึงจะฟื้นและเดินหน้าต่อไปได้